ดวงฤกษ์กรุงเทพ ตามเวลาในปูมโหร (ปฏิทินสุริยยาตร์สุโขทัย)
ดวงฤกษ์กรุงเทพ ตามเวลาจากนิมิตในปูมโหร (ปฏิทินสุริยยาตร์มหานาฑี)
การทดสอบดวงฤกษ์ของกรุงเทพมหานคร ก็จะใช้วิธีการทดสอบด้วยตรีวัยเช่นเดียวกัน โดยหลักๆแล้วจะใช้ตรีวัยของราศีเมษจากดวงฤกษ์ตามนิมิตในปูมโหร แต่จะเปรียบเทียบกับตรีวัยของราศีธนูจากดวงฤกษ์ตามเวลาในปูมโหรไว้ด้วย
ตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพ ตามเวลาในปูมโหร (ศตวรรษแรก)
ตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพ ตามเวลาจากนิมิตในปูมโหร (ศตวรรษแรก)
ดวงฤกษ์กรุงเทพกำเนิดในวันอาทิตย์ จึงมีดาวศุกร์ ๖ เป็นดาวกาลกิณีของวันกำเนิดของทั้งสองดวงฤกษ์ที่นำเสนอ แต่ตรีวัยของสองดวงฤกษ์แตกต่างกัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันดังภาพ ก็จะเห็นภาพโดยรวมเด่นชัด ตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาในปูมโหร จะไม่มีวัยที่ไม่ดีเลย เพราะดาวอาทิตย์ ๑ มีตำแหน่งมหาอุจ ดาวจันทร์ ๒ มีตำแหน่งเกษตร ดาวอังคาร ๓ แลกเรือนเกษตรกับดาวพุธ ๔ ดาวพฤหัสบดี ๕ เป็นเกษตร ดาวศุกร์ ๖ กาลกิณีเป็นมหาอุจ ดาวเสาร์ ๗ และคราสราหู ๘ ไม่มีตำแหน่งอะไรแต่ก็ถือเป็นดาวธรรมดาๆ มีกำลังธรรมดาๆตามสภาพของดาวนั้น และไม่มีสถานะกำลังดาวน้อยเลย
ส่วนตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาจากนิมิตในปูมโหร ดาวอาทิตย์ ๑ มีตำแหน่งมหาอุจ ดาวจันทร์ ๒ มีตำแหน่งเกษตร ดาวอังคาร ๓ เป็นปรเกษตรกำลังน้อยแต่ได้สถานะเป็นราชาโชค ดาวพุธ ๔ เป็นนิจกำลังน้อยมาก ดาวพฤหัสบดี ๕ เป็นเกษตร ดาวศุกร์ ๖ กาลกิณีเป็นมหาอุจ ดาวเสาร์ ๗ มีกำลังธรรมดาแต่ได้สถานะพิเศษบางอย่าง และคราสราหู ๘ มีกำลังธรรมดาแต่ได้สถานะพิเศษบางอย่างเช่นกัน ดังนั้นในตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาจากนิมิต จึงมีวัยที่ดีและไม่ดีร่วมกันอยู่ ดูความแตกต่างได้จากแผนภูมิที่นำเสนอ
จะเห็นว่าตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาในปูมโหร มีลักษณะคล้ายคลึงกับตรีวัยของประเทศสหรัฐอเมริกา และตรีวัยของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้นำเสนอไปในตอนก่อนๆแล้ว นั่นคือมีแต่วัยที่ดีกับเสมอตัว แต่ตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาจากนิมิตนั้น มีวัยที่ตกต่ำด้วย และตำแหน่งของวัยนั้นก็สลับที่กัน วัยบาปเคราะห์ (วัยของดาวร้าย) วัยศุภเคราะห์ (วัยของดาวดี) อยู่คนละตำแหน่งกัน ซึ่งเพียงพอต่อการนำมาพิจารณาจากเหตุการณ์จริงที่ผ่านมาในอดีต
การตรวจสอบเบื้องต้นจะเพ่งเล็งที่วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีก่อน โดยการวิเคราะห์นี้จะใช้ดวงฤกษ์ตามนิมิตเป็นหลัก
วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยแรกเกิดในช่วงพุทธศักราช ๒๓๓๓ ถึง ๒๓๔๑ (ดูภาพประกอบ และเดือนกับวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุด บอกไว้ในภาพประกอบแล้ว) เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่สองแห่งราชวงศ์จักรี ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่าสยามทำสงครามกับพม่า และเสียดินแดนมะริด ตะนาวศรีไป ส่วนข้อมูลทางเศรษฐกิจนั้นข้าพเจ้าหาไม่พบเลย ว่าในช่วงเวลานั้นสถานการณ์เศรษฐกิจของสยามเป็นอย่างไร (ท่านใดมีข้อมูลโปรดเอื้อเฟื้อด้วยครับ)
วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยที่สองเกิดในช่วงพุทธศักราช ๒๓๙๑ ถึง ๒๔๐๐ เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สี่แห่งราชวงศ์จักรี ในวัยนี้มีการเสียดินแดนสิบสองปันนา มีอหิวาตกโรคระบาด และมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษ
สนธิสัญญาเบาว์ริ่งนั้น เป็นสนธิสัญญาที่ทำให้สยามเสียเปรียบชาติตะวันตก ที่เริ่มเข้ามาทำการค้ามากขึ้น สัญญานี้ทำให้สยามเก็บภาษีจากสินค้าขาเข้าได้เพียงร้อยละสาม หลังจากทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้วในช่วงเดียวกันนี้ ชาติตะวันตกอื่นๆก็ใช้สนธิสัญญานี้อ้างความเท่าเทียม ที่จะทำสัญญากับสยาม โดยให้เก็บภาษีสินค้าขาเข้าได้เพียงร้อยละสาม ด้วยเป็นยุคการฑูตแบบเรือปืนและยุคลัทธิล่าอาณานิคม สยามจำต้องทำสัญญาที่เสียเปรียบนี้ และที่สำคัญสัญญาทุกฉบับไม่มีการกำหนดวันหมดอายุ หลังจากทำสนธิสัญญากับชาติต่างๆไปจนหมดแล้ว สยามต้องใช้เวลาอีกนานเกือบศตวรรษ ในการขอแก้สัญญาการเก็บภาษีขาเข้าให้เป็นธรรม ซึ่งกว่าจะแก้ได้สำเร็จครบทุกชาติ ก็ล่วงเข้าถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เจ็ด
ความเสียหายจากการเก็บภาษีอากรขาเข้า ที่ได้ไม่เป็นธรรมนี้ ประมาณมูลค่าคงเป็นเงินมหาศาล เพราะระยะเวลาของความเสียหายนั้นยาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษเลยทีเดียว
วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยที่สามเกิดในช่วงพุทธศักราช ๒๔๓๓ ถึง ๒๔๔๑ เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ห้าแห่งราชวงศ์จักรี ในวัยนี้มีอหิวาตกโรคระบาด และเกิดวิกฤติการ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสส่งกองทัพเรือเข้ามาขู่จะถล่มกรุงเทพ โดยบังคับให้สยามยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับให้กับฝรั่งเศสเป็นเงินสามล้านฟรัง
การเสียดินแดนครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของสยาม และส่งผลร้ายต่อความมั่นคงของสยามมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากดินแดนที่ต้องยกให้ฝรั่งเศสและกลายมาเป็นดินแดนของเขมรและลาวในเวลาต่อมา ข้ามแนวป้องกันทางธรรมชาติคือแม่น้ำโขงเข้ามา ทำให้เกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับเส้นแบ่งพรมแดนตามมาจนถึงทุกวันนี้ ไทยกับฝรั่งเศสเคยรบกันเพราะดินแดนนี้หลายครั้ง ไทยกับลาวเคยรบกันด้วยกรณีพิพาทบ้านร่มเกล้า ไทยกับเขมรเคยรบกันด้วยกรณีพิพาทเขาพระวิหารและอีกหลายจุด การเจรจาปักปันเขตแดนยังมีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ เกาะแก่งในแม่น้ำโขงทั้งหมดต้องตกเป็นของฝรั่งเศสและกลายเป็นของเขมรและลาวมาจนทุกวันนี้ อีกทั้งในยุคสงครามคอมมิวนิสต์ การป้องกันประเทศทำได้ด้วยความยากลำบากมาก เนื่องจากเส้นพรมแดนที่ติดกันบนผืนดิน ทำให้กองกำลังคอมมิวนิสต์อาศัยการหลบหนีเข้าไปในเขตของประเทศเพื่อนบ้านได้ง่าย ส่วนค่าปรับสามล้านฟรังนั้น ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า สยามใช้เงินจากเงินถุงแดงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สามแห่งราชวงศ์จักรี สะสมพระราชทานเอาไว้ให้เป็นทรัพย์แผ่นดิน ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอ เรียกได้ว่าสยามต้องเทเงินจนหมดท้องพระคลัง หมดตัว เพื่อจ่ายค่าปรับให้กับฝรั่งเศส และรักษาเอกราชของชาติเอาไว้
วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยที่สี่เกิดในช่วงพุทธศักราช ๒๔๙๑ ถึง ๒๕๐๐ เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี ในวัยนี้ไทยได้เข้าร่วมสงครามเกาหลี และในวัยนี้ทั้งวัยไทยตกอยู่ใต้อำนาจของจอมพล ป.พิบูลสงครามผู้นำคณะราษฎร์ ซึ่งได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ทำให้เกิดการกบฏขึ้นถึงสามครั้ง เป็นยุคที่บ้านเมืองขาดอิสรภาพอย่างมาก สื่อมวลชนถูกคุกคาม แม้แต่สถาบันสูงสุดของชาติก็ถูกกดดันก้าวล่วง ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ค่อนข้างจะเกี่ยวกับการเมือง และข้าพเจ้าตั้งใจจะดูดวงเมืองมิได้ดูการเมือง จึงขอไม่ขยายความต่อไปอีก เพียงแต่จะเน้นเกี่ยวกับวัยกาลกิณีของสยาม อันก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินของชาติ เพราะในช่วงวัยนี้การคุมอำนาจการเงินการคลังของชาติ ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว ความเสียหายนั้นประมาณค่ามิได้ ทั้งทรัพย์แผ่นดิน ทรัพย์สินราชพัสดุ และมีการแต่งตั้งพรรคพวกของตนเอง ไปดูแล ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โกงกินเสียหายไปเป็นจำนวนในมหาศาล
ในวัยนี้เองได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขึ้น ในพุทธศักราช ๒๔๘๕ เป็นการเริ่มต้นความแตกแยกทางความเชื่อครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาจนเกิดสงครามคอมมิวนิสต์ขึ้นในประเทศในกาลต่อมา
วัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยที่ห้าเกิดในช่วงพุทธศักราช ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๔๑ เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี ในวัยนี้เกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งถือว่าเป็นความสูญเสียจากความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของประเทศ ติดตามมาด้วยเหตุวิกฤติต้มยำกุ้งในพุทธศักราช ๒๕๔๐ หลายๆท่านที่อ่านบทความนี้คงจะทันรับรู้เหตุวิกฤติต้มยำกุ้งนี้ดี ความเสียหายของประเทศนั้นประมาณค่าไม่ได้ ค่าเงินบาทตกต่ำ กิจการเอกชนล้มละลายต้องปิดตัวลงมากมาย เงินทุนสำรองของชาติแทบหมดเกลี้ยง ไทยต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ถูกควบคุมการใช้จ่ายเงินของประเทศ ความบาดเจ็บในครั้งนั้นคงหาข้อมูลอ่านได้ไม่ยาก
และในช่วงก่อนเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๓๕ และหลังเหตุการณ์นั้น ไทยมีรัฐบาลพลเรือนในระบอบประชาธิปไตยแท้ๆที่มาจากการเลือกตั้งหลายรัฐบาล หลายนายกรัฐมนตรี บ้างก็ได้ฉายาว่าบุปเฟ่ต์คาบิเนต เป็นรัฐบาลที่โกงกินกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ เศษซากของการโกงกินบางส่วนนั้น ยังคงตั้งเป็นอนุสาวรีย์อยู่ตามเส้นทางรถไฟในกรุงเทพ ความเสียหายในวัยกาลกิณีครั้งที่ห้านี้ก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าวัยกาลกิณีอื่นๆที่ผ่านๆมาเลย
อันที่จริงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสยามหรือไทยนั้น เกิดนอกวัยกาลกิณีก็มี ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยดาวจรหรือตำแหน่งดาวที่โคจรมาทำมุมกับดวงฤกษ์กรุงเทพ แต่ที่ข้าพเจ้าเจาะจงชี้เหตุที่เกิดขึ้นในวัยกาลกิณีนั้นก็เพราะว่า วัยกาลกิณีย่อมจะต้องมีปัญหา และปัญหานั้นจะเกิดขึ้นไม่ว่าดาวเจ้าวัยกาลกิณีนั้นจะมีกำลังหรือไม่ แต่ปัญหานั้นจะมีความหนักเบาหรือสภาพที่แตกต่างกัน หากดาวเจ้าวัยกาลกิณีนั้นด้อยกำลังปัญหาจะยิ่งหนักหน่วง
จากการตรวจสอบเหตุการณ์ของสยามหรือไทย ด้วยวัยกาลกิณีในตรีวัยของดวงฤกษ์กรุงเทพตามเวลาจากนิมิตในปูมโหร ให้ผลที่ค่อนข้างจะอธิบายได้ว่าเป็นช่วงที่ย่ำแย่เสมอมา ซึ่งวัยศุกร์ ๖ กาลกิณีวัยที่หกนั้น จะมาถึงในช่วงพุทธศักราช ๒๕๙๑ ถึง ๒๖๐๐ ท่านที่อ่านบทความนี้หลายท่าน คงพลาดโอกาสที่จะได้เห็น และช่วงที่จะย่ำแย่ขนาดหนักครั้งต่อไป ก็ไกลเกินกว่าวิกฤติของพญาอินทรีที่กำลังจะเกิดขึ้น หากมองเพียงตรีวัย ก็พอจะใจชื้นๆขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า ไทยเราอาจจะไม่หนักหนาไปด้วยกระมัง
แต่ความประมาทคือหนทางแห่งความฉิบหาย ในแผนภูมิตรีวัยสามศตวรรษที่นำเสนอนั้น หากอ่านดูเหตุที่เกิดขึ้นนอกวัยกาลกิณี ก็จะเห็นว่าเรื่องร้ายๆก็มีเกิดขึ้นมากมาย แล้วในช่วงที่พญาอินทรีจะปีกหัก ไทยเราจะมีเรื่องร้ายๆอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ก็ติดตามกันต่อไปครับ